ระบบการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา
ระบบการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกา แบ่งเป็นระดับต่างๆ ได้ดังนี้
การศึกษาระดับนี้ไม่ใช่การศึกษาภาคบังคับ แต่เป็นการเรียนเพื่อปรับพื้นฐานในช่วงอายุ 3-6 ปีก่อนที่จะเริ่มเรียนอย่างจริงจังในระดับประถมศึกษา ชีวิตการเรียนของเด็กอเมริกันเริ่มต้นด้วยโรงเรียนเตรียมอนุบาล หรือโรงเรียนอนุบาล ตั้งแต่อายุประมาณ 3 ขวบ เด็กอเมริกันจะเริ่มต้นเข้าเรียนอย่างจริงจังเมื่ออายุ 6 ขวบบริบูรณ์ โดยระดับประถมศึกษาจะเริ่มตั้งแต่ Grade 1 – 6 ซึ่งเทียบกับระบบการศึกษาของประเทศไทย คือประถมศึกษาปีที่ 1 – 6
เป็นการศึกษาภาคบังคับ สำหรับเด็กอายุ 6 ปี มีระยะการศึกษา 6 ปี คือเข้าเรียนในชั้น Grade 1 ถึง Grade 6 ซึ่งตรงกับประเทศไทยคือ ประถมศึกษาปีที่ 1-6
การศึกษาภาคบังคับของอเมริกานั้น ทุกคนจะได้รับสิทธิเรียนฟรี จนกระทั่งถึงเกรด 12 (Grade 12) หรือจบในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย สำหรับเด็ก 12-18 ปี แบ่งเป็นช่วงที่ 2 คือ Grade 7 และ Grade 8 หรือระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (Junior High School) และช่วงที่ 3 คือ Grade 9 ถึง Grade 12 เป็นระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (Senior High School) โดยทั่วไปสำหรับเด็กที่เข้าเริ่มเรียนตามปกติ และเรียนต่อเนื่องไปโดยไม่ขาดตอน จะสำเร็จการศึกษา Grade 12 เมื่อ อายุประมาณ 18 ปี ซึ่งนับว่าสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
โรงเรียนในระดับมัธยมศึกษา แบ่งออกเป็น 2 ประเภทคือ
- โรงเรียนรัฐบาล นักเรียนทุนส่วนตัว มีสิทธิ์เรียนได้เป็นเวลา 1 ปี เท่านั้น
-
โรงเรียนเอกชน มี 3 รูปแบบ
- Independent School หรือ Prep. School เพื่อเตรียมนักเรียนเข้าศึกษาต่อระดับปริญญาตรี
- Parochial School โรงเรียนศาสนาโรมันคาธอลิค
- Bible School หรือ Christian School สอนศาสนาควบคู่กับวิชาการ
- ภาษาอังกฤษ (English)
- คณิตศาสตร์ (Math)
- วิทยาศาสตร์ (Sciences)
- สังคมศึกษา (Social Studies)
- ภาษาต่างประเทศ (Foreign Languages)
- พลศึกษา (Physical Education)
- ศิลปะ (Art)
- ดนตรี (Music)
- Home Economics
- Industrial Arts
นักเรียนในระดับนี้ต้องเรียนวิชาพื้นฐานคือภาษาอังกฤษ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา และอาจต้องเรียนภาษาต่างชาติ หรือพลศึกษาด้วย
สถาบันระดับอุดมศึกษาในสหรัฐอเมริกามีมากกว่า 3,000 แห่ง ทั้งของรัฐและเอกชน การเรียนในระดับอุดมศึกษานั้น หากนักศึกษาต้องการเรียนต่อในมหาวิทยาลัยในรัฐที่ตนเองไม่ได้มีถิ่นฐานอยู่แล้ว จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เรียกว่า Out of States Tuition เพิ่มขึ้นมาด้วยโดยสถาบันในระดับอุดมศึกษา จะแบ่งได้ 7 รูปแบบ ดังนี้
- State College หรือ University วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยของรัฐ โดยทั่วไปทั้ง 50 รัฐของสหรัฐอเมริกาจะมีวิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยที่ได้รับเงินอุดหนุนโดยตรงจากรัฐบาล อัตราค่าเล่าเรียนจะแตกต่างกันระหว่างนักศึกษาที่เป็นคนของรัฐนั้นกับนักศึกษาที่มาจากรัฐอื่น สถาบันอุดมศึกษาส่วนมากจะมีคำว่า State University หรือ State College ตามด้วยชื่อของรัฐหรือเมืองนั้นๆ เช่น California State University
-
Private College หรือ University วิทยาลัยหรือมหาวิทยาลัยของเอกชนหรือมูลนิธิ มีระบบการบริหารโดยกลุ่มเอกชน อัตราค่าเล่าเรียนจะสูงกว่าสถาบันอุดมศึกษาของรัฐ
College และ University หมายถึงสถาบันอุดมศึกษาที่รับนักเรียนที่สำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือ Grade 12 โดยมีความแตกต่างกันดังนี้
College เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี 4 ปี แยกสาขาศิลปศาสตร์ (Bachelor of Arts) และวิทยาศาสตร์ (Bachelor of Science) ระดับการศึกษาแบบวิทยาลัย 4 ปีนั้นจะให้ความสำคัญกับระดับปริญญาตรีหรือเตรียมนักศึกษาเพื่อเข้าเรียนในระดับวิชาชีพชั้นสูง (Professional School) เช่น แพทยศาสตร์ กฎหมาย สถาปัตยกรรมศาสตร์ เภสัชศาสตร์ เป็นต้น
ส่วน University เปิดสอนหลักสูตรปริญญาตรี โท และ เอก ประกอบด้วยคณะ (College) ต่างๆ หลายสาขาวิชา เช่น ศิลปศาสตร์ วิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์ มนุษยศาสตร์และสถาบันวิชาชีพ (Professional School) ในระดับปริญญาโทและปริญญาเอก เน้นการวิจัยค้นคว้าและพัฒนาความเป็นเลิศทางวิชาการขั้นสูง ดังนั้น University จึงเป็นแหล่งรวมของสาขาวิชาการต่างๆ มีจำนวนนักศึกษา อาจารย์ และมีพื้นที่กว้างขวาง ตั้งเป็นวิทยาเขต หรือ Campus แยกออกจากชุมชน
การเรียนการสอนในระดับปริญญาตรี 4 ปี สามารถแยกได้เป็น 2 ระดับ คือ 2 ปีแรก เรียก Freshman และ Sophomore นักศึกษาจะต้องเรียนวิชาพื้นฐานในหลายสาขา เช่น สังคมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ศิลปะ ประวัติศาสตร์ วรรณคดี บางแห่งบังคับวิชาด้านศาสนาและปรัชญา และอีก 2 ปีหลังเรียก Junior และ Senior ซึ่งนักศึกษาจะต้องเลือกวิชาเอก (Major) วิชาโท (Minor) และวิชาเลือก (Electives) ตามความสนใจ
- Two-year College หรือ Junior College สถาบันการศึกษาที่เปิดสอนระดับอนุปริญญา (Associate Degree) มีทั้งของรัฐบาลและเอกชน ผู้สำเร็จอนุปริญญาสามารถเข้าทำงานและประกอบอาชีพได้เลย เช่น ช่างเทคนิค และงานกึ่งวิชาชีพ หรือสามารถย้ายโอนเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีอีก 2 ปี ในมหาวิทยาลัย
- Community College วิทยาลัยชุมชน ไม่แตกต่างจาก Junior College แต่เน้นหลักสูตร 2 ปี ที่ตอบสนองความต้องการของท้องถิ่น นักศึกษาส่วนมากมีงานทำแล้วและกลับมาเรียนภาคค่ำ ไม่มีหอพัก อัตราค่าเล่าเรียนไม่สูงมากและชั้นเรียนขนาดเล็ก
- Professional School สถาบันวิชาชีพชั้นสูง ทางด้านศิลปะ ดนตรี วิศวกรรมศาสตร์ การแพทย์ บริหารธุรกิจ บางครั้งจะเป็นส่วนหนึ่งของ University หรือแยกเป็นเอกเทศ ส่วนมากเป็นหลักสูตรปริญญาโทและเอก
- Institute of Technology สถาบันเทคโนโลยี เน้นการเรียนการสอนทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นหลัก บางแห่งมีหลักสูตรถึงระดับปริญญาโทและเอก รวมถึงมีการเปิดหลักสูตรสั้นๆ ในสาขาเฉพาะทางด้วย
- Technical Institute สถาบัน/วิทยาลัยเทคนิค หลักสูตรช่างเทคนิค 1-2 ปี เช่น ด้าน Medical Technology เพื่อเตรียมนักศึกษาสู่อาชีพ ช่างฝีมือในลักษณะต่างๆ ส่วนมากมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบอาชีพ และบางครั้งไม่สามารถโอนเครดิตเพื่อศึกษาต่อในระดับปริญญาตรีได้
ส่วนคู่มือศึกษาต่อต่างประเทศ TIECA GUIDE TO INTERNATIONAL EDUCATION 2006ได้แบ่งระดับอุดมศึกษา แบ่งเป็น 4 ประเภท ดังนี้
-
วิทยาลัยแบบ 2 ปี หรือ วิทยาลัยชุมชน (Junior Colleges and Community Colleges) การศึกษาในระดับนี้ มี 2 ลักษณะ คือ แบบ Transfer Track และแบบ Terminal/Vocational Track
- Transfer Track เป็นหลักสูตรที่เป็นวิชาพื้นฐาน 2 ปีแรกของการศึกษาระดับปริญญาตรี โดยจะต้องลงเรียน รายวิชาบังคับ (General Education Requirements) จากนั้นนักศึกษาสามารถ โอนหน่วยกิต (Transfer) ไปยังมหาวิทยาลัยทั้งภาครัฐหรือเอกชนเพื่อศึกษาต่อในระดับชั้นปีที่ 3 โดยที่เกรดเฉลี่ยที่นักศึกษาทำได้ในระหว่าง 2 ปีนี้ จะเป็นตัว กำหนดว่านักศึกษาจะได้รับการตอบรับ เข้าเรียนในมหาวิทยาลัย ที่ต้องการหรือไม่
- Terminal / Vocational Track เป็นหลักสูตรอนุปริญญาสายวิชาชีพ หลังจากที่เรียนจบในระยะเวลา 2 ปีแล้วนักศึกษาจะได้รับ วุฒิอนุปริญญา (Associate Degree) ทางสาขาวิชาที่เลือก
- วิทยาลัย (Colleges) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนในสาขาวิชาต่าง ๆ ในหลักสูตรปริญญาตรี (4 ปี) และปริญญาโท ซึ่งหลังจากที่เรียนจบหลักสูตรแล้ว วุฒิบัตรที่ได้รับจะมีศักดิ์และสิทธิ์เทียบเท่าปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยทุกประการ ไม่ว่าสถาบันนั้นจะเป็นของรัฐหรือเอกชนก็ตาม
- มหาวิทยาลัย (University) เป็นสถาบันระดับอุดมศึกษาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีขึ้นไป มหาวิทยาลัยส่วนใหญ่ จะเปิดสอนจนถึงระดับปริญญาโท และเอกใน สาขาต่าง ๆ เน้นการสอนและการค้นคว้าวิจัยในแง่วิชาการ
- ปริญญาตรี 4 ปี
- ปริญญาโท (1 – 2 ปี)
- ปริญญาเอก (4 ปี)
- สถาบันเทคโนโลยี (Institute of Technology) โดยส่วนใหญ่ มักจะมุ่งเน้น ที่การเรียนการสอนในสาขา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเป็นหลัก ซึ่งเปิดสอนตั้งแต่ระดับปริญญาตรี จนถึง ระดับปริญญาโท และเอก
สถานศึกษาในสหรัฐอเมริกาใช้ภาคการศึกษาหลายแบบแตกต่างกันออกไป ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับความต้องการของสถานศึกษา และความนิยมของท้องถิ่น ได้แก่
ระบบ Semester
เป็นระบบที่นิยมใช้กันมากที่สุดในระยะเวลาหนึ่งปีจะประกอบด้วย 2 semester และ 1 – 2 summer sessions แต่ละ semester ยาวประมาณ 15-16 สัปดาห์ดังนี้
Fall Semester | เปิดประมาณ ปลายเดือน สิงหาคม – ธันวาคม |
Spring Semester | เปิดประมาณ กลางเดือน มกราคม – พฤษภาคม |
Summer Semester | เปิดประมาณ กลางเดือน พฤษภาคม – สิงหาคม |
ระบบ Quarter
ในหนึ่งปีแบ่งออกเป็น 4 Quarters โดยแต่ละ Quarter นานประมาณ 10 สัปดาห์ ดังนี้
Fall Quarter | เปิดประมาณ กลางกันยายน – ธันวาคม |
Winter Quarter | เปิดประมาณ มกราคม – กลางมีนาคม |
Spring Quarter | เปิดประมาณ เมษายน – กลางมิถุนายน |
Summer Quarter | เปิดประมาณ กรกฎาคม – สิงหาคม |
ระบบ Trimester
ใน 1 ปี แบ่งเป็น 3 เทอม ๆ ละ ประมาณ 3 เดือน
First Trimester | เปิดประมาณ กันยายน – ธันวาคม |
Second Trimester | เปิดประมาณ มกราคม – เมษายน |
Third Trimester | เปิดประมาณ พฤษภาคม – สิงหาคม |
ระบบ 4-1-4
เป็นระบบใหม่ที่ใช้ในสถานศึกษาราว 8 % ในสหรัฐอเมริกา แบ่งปีการศึกษาออกเป็น 2 ภาคใหญ่ คั่นด้วยภาคเรียนสั้น ๆ ที่เรียนกว่า Interim เพื่อให้นักศึกษาไปทำการค้นคว้าด้วยตนเองหรืออก Field Trip แบ่งภาคเรียน ดังนี้
Fall Semester | เปิดประมาณ กันยายน – ธันวาคมเปิดประมาณ เดือน มกราคม (1 เดือน)เปิดประมาณ กุมภาพันธ์ – พฤษภาคม |
Interim | |
Spring Semester |
ปีการศึกษาในสหรัฐอเมริกา (Academic year) จะเริ่มประมาณเดือนกันยายน ถึง พฤษภาคม ระยะเวลาประมาณ 9 – 10 เดือน การกำหนดภาคการศึกษาจะแตกต่างกันออกไปขึ้นอยู่กับความต้องการของสถานศึกษา และความนิยมของท้องถิ่นนั้น ๆ