“STEM คืออะไร และมีความสำคัญอย่างไร”
จุดกำเนิด STEM
STEM เป็นตัวย่อของชื่อ 4 สาขาวิชา ได้แก่ Science, Technology, Engineering, Mathematics เป็นการรวม 4 สาขาวิชานี้เข้าด้วยกัน แทนที่จะเรียนแยกจากกัน แต่หากนำทั้ง 4 วิชามาบูรณาการเข้าด้วยกันเพื่อการปรับใช้จริงในโลกปัจจุบัน ซึ่งระบบการศึกษานี้ถูกออกแบบขึ้นครั้งแรกในสหรัฐอเมริกา เนื่องจากกระทรวงการศึกษาของอเมริกาค้นพบว่า มีนักเรียนเพียงแค่ 16 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่สนใจในการทำงานสาขา STEM ในรัฐบาลของโอบาม่า ประธานาธิบดีคนเก่าของอเมริกาประกาศปี 2009 ถึงนโยบาย “Educate to Innovate” เล็งเห็นถึงความสำคัญของ STEM ที่มีต่อโลกปัจจุบัน และแรงงานของโลกที่ยังคงเป็นที่ต้องการอยู่มาก อีกทั้งสหรัฐอเมริกาเองอยากเป็นผู้นำทางด้าน STEM ของโลกด้วย
ดังนั้นการส่งเสริมระบบการศึกษาให้นักเรียนเล็งเห็นความสำคัญของระบบการเรียน STEM จึงได้ถูกนำมาใช้ในนโยบายนี้ ซึ่งรัฐบาลได้จัดสรรครูอาจารย์ที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านนี้โดยเฉพาะเพื่อให้ความรู้แก่นักเรียนได้อย่างเพียงพอ จุดประสงค์หลักเพื่อต้องการให้นักเรียนมีประสิทธิภาพเทียบเท่าระดับสากลได้นั้นเอง
ทำไม STEM จึงเป็นสาขาที่น่าเรียนในอเมริกา
หลังจากกำเนิดนโยบายของ Obama ที่จะส่งเสริมการเรียนการสอนในสาขา STEM ให้มีมากขึ้นตั้งแต่ปี 2009 จนถึงปัจจุบันทำให้มหาวิทยาลัยและโรงเรียนในสหรัฐอเมริกาให้ความสำคัญกับ STEM มากเพราะได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลจำนวนมากในแต่ละปี โดยหน่วยงานกว่า 13 หน่วยงานของสหรัฐที่ให้ความร่วมมือเพื่อส่งเสริมในเรียนการสอนในครั้งนี้อาทิ The Committee on Stem Education (CoSTEM) และกระทรวงศึกษาธิการของอเมริกา เป็นต้น
ในปี 2014 รัฐบาลของ Obama ยังลงเงินกว่า 3.1 พันล้านบาท เพื่อจ้างบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและเครื่องมือเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับการเรียน ทำให้มีการเปิดการสอนสาขาด้าน STEM และสาขาที่ใช้ STEM เป็นพื้นฐานในการเรียนในระดับมหาวิทยาลัยทั่วอเมริกา เพื่อให้เป็นตัวเลือกของนักเรียน จนปัจจุบันกลายเป็นสาขายอดนิยมทั้งในระดับชาติและระดับโลก
ความสำคัญของ STEM
ในปัจจุบันตลาดแรงงานระดับโลกต้องการแรงงานที่มีความรู้ด้าน STEM เป็นจำนวนมาก จากรายงานเว็บ STEM connector.org ได้ระบุไว้ว่าภายในปี 2018 ตลาดแรงงานต้องคนที่มีความรู้ด้าน STEM กว่า 8.65 ล้านคน ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นที่คลาดแคลนอย่างยิ่ง กระทรวงแรงงานของสหรัฐได้ระบุไว้ว่า ภายในปี 2018 ความต้องการของ STEM จะเพิ่มมากขึ้นดังต่อไปนี้
- Computing – 71 percent
- Traditional Engineering – 16 percent
- Physical sciences – 7 percent
- Life sciences – 4 percent
- Mathematics – 2 percent
ประโยชน์จากการเรียน STEM
โดยปกติแล้วระบบการเรียน STEM จะถูกแทรกอยู่ในการเรียนการสอนของแต่ละชั้นเรียนอยู่แล้วเพียวแค่ไม่ได้ถูกเรียกอย่างชัดเจนอย่างในปัจจุบัน ซึ่งประโยชน์จากการเรียน STEM นั้นมีอยู่ในหลายสกิล ได้แก่
- ทักษะการแก้ปัญหา
- ฝึกกระบวนการคิดเป็นระบบ
- การนำประโยชน์ไปใช้
- ทักษะการสร้าง
- การฝึกทำอะไรที่ได้ท้าทายความสามารถ
Source: http://www.livescience.com/43296-what-is-stem-education.html และ สาขาเทคโนโลยีทางการศึกษา สสวท.
ข้อมูลเพิ่มเติม เรียนต่อป.ตรี (Bachelor) อเมริกา คลิ๊ก!!
ข้อมูลเพิ่มเติม เรียนต่อป.โท (Master) อเมริกา คลิ๊ก!!